ค้นหาบล็อกนี้

ขับเคลื่อนโดย Blogger.
วันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2556

ลดน้ำตาลซักนิด เพื่อสุขภาพที่ดี

     ในบรรดารสชาติต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น เปรี้ยว หวาน มัน เค็ม เผ็ด รสหวานเป็นที่ถูกปากของผู้คนส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นเด็กน้อย วัยรุ่น หรือแม้แต่ผู้เฒ่า ผู้แก่ ในปัจจุบัน คนไทยรับประทานรสหวานกันมากขึ้นกว่าอดีตมากมายหลายเท่านัก สังเกตุจากเดี๋ยวนี้ไม่ว่าจะผัด แกง หรือทำกับข้าวอะไรซักอย่างเราจะใส่น้ำตาลลงไปด้วยเสมอๆ

   ถ้าถามว่าแล้วมันผิดหรือไงที่ชอบรสหวาน จริงๆมันไม่ผิดหรอกครับ เพราะทุกรสชาติ ไม่วาจะ เปรี้ยว หวาน มัน เค็ม หรือ เผ็ด มันก็มีอันตรายทั้งนั้น ถ้าทานมากเกินไป แต่ที่ยกรสหวานมาเขียนวันนี้เพราะว่า เป็นรสที่ทานง่ายและ เราๆท่านๆ ทานกันบ่อยที่สุดแล้ว 

   อย่างที่เรารู้รสหวานส่วนใหญ่ที่เราทานกันอยู่ได้มาจากน้ำตาล ซึ่งแบ่งง่ายๆได้สามประเภทคือ

     1. น้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว  น้ำตาลประเภทนี้ร่างกายไม่ต้องย่อยสามารถนำไปใช้ได้ทันที มีอยู่ในอาหารประเภท ผลไม้ หรือ น้ำผึ้ง
     2. น้ำตาลโมเลกุลคู่ น้ำตาลประเภทนี้ร่างกายต้องย่อยก่อน เช่น น้ำตาลอ้อย น้ำตาลทราย
  3. น้ำตาลโมเลกุลใหญ่ น้ำตาลประเภทนี้ร่างกายเราต้องใช้เวลาในการย่อยมาก หรือบางชนิดอาจจะย่อยไม่ได้ เช่น เส้นใยพืช

แล้วมันอันตรายยังไง? 

    ถ้าทานมากๆจนร่างกายเรานำไปใช้ไม่หมด น้ำตาลเหล่านี้ก็จะถูกเปลี่ยนเป็นพลังงานสำรองในร่างกาย ถ้าเหลือมากๆ ร่างกายก็จะเปลี่ยนพวกมันเป็นไขมันเก็บไว้ในร่างกายเรา ซึ่งก็คือทำให้เราอ้วนนั่นเอง ส่วนปัญหาที่ตามมาจากความอ้วนนั้น เราๆ ท่านๆก็ทราบดีกันอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็น สาเหตุหลักๆของ เบาหวาน โรคหัวใจ ไขข้ออักเสบ และอื่นๆ นอกจากนี้ยังมีปัญหาอื่นๆตามมาอีกเช่น ฝันผุ 
    
    การทานน้ำตาลคราวละมากๆ และบ่อยๆ อาจจะทำให้เราเสพติดน้ำตาลโดยไม่รู้ตัวได้ โดยอาการคือจะหงุดหงิดเวลาไม่ได้ทานอะไรหวานๆ และจะสดชื่น มีเรี่ยวแรงทันทีหลังจากได้ทานอะไรหวานๆเข้าไป ทางการแพทย์เรียกอาการนี้ว่า "คาร์โบลิก"

    ที่กล่าวมาตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ หลายๆคนอาจจะถามว่าแล้วมันไม่มีประโยชน์เลยหรือ เพราะบอกแต่ข้อเสียทั้งนั้น จริงๆน้ำตาลให้พลังงานสูงและ มีข้อดีเยอะครับถ้าเราทานอย่างพอเหมาะ เช่นใครนอนไม่หลับเราสามารถใช้เป็นยานอนหลับได้ครับ วิธีการก็คือ ทานน้ำตาลทรายขาว 2 ช้อนครึ่งก่อนนอน ทานพร้อมผลไม้ก็ได้ แต่อย่ารับประทานร่วมกับไขมันนะครับ เนื่องจากน้ำตาลมีช่วยให้คลายเครียด และมีฤทธิ์กล่อมประสาท

    หรือผสมน้ำตาลทรายละเอียด 4 ส่วนกับขี้ผึ้งเบดาตีน 1 ส่วน ป้ายลงบนแผลสดจะช่วยให้แผลหายไวขึ้นและแทบจะไม่มีรอยแผลเหลืออยู่เลย

    สุดท้ายนี้ขอให้ทุกท่านๆที่อ่านบทความนี้ เลือกทานอาหารหวานๆแต่พอเหมาะ เพื่อสุขภาพที่ดีครับ ถ้าทำอาหารเองลองใช้น้ำตาลแคลลอรี่ต่ำดูนะครับ ขอให้ทุกท่านสุขภาพดีครับ

0 ความคิดเห็น: